หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ปัญหาทรัพยากรดินและแนวทางการแก้ไขปัญหา

สถานการณ์ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน
ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน มีสาเหตุทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและเกิดจากการใช้ที่ดินที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตัวอย่างของปัญหา เช่น การชะล้างพังทลายของดิน ดินขาดอินทรีย์ และปัญหาที่เกิดจากสภาพธรรมชาติของดินร่วมกับการกระทำของมนุษย์ เช่น ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินอินทรีย์ (พรุ) ดินทรายจัด และดินตื้น พื้นที่ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมของประเทศไทย ได้แก่ การชะล้างพังทลายของดิน 108.87 ล้านไร่ พื้นที่ที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินมากที่สุดคือ ภาคเหนือ ดินขาดอินทรียวัตถุ 98.70 ล้านไร่ ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุประมาณร้อยละ 77 อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม 209.84 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนดินเค็ม ดินกรดและดินค่อนข้างเป็นทราย อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ถูกต้องตามศักยภาพ คิดเป็นพื้นที่ 35.60 ล้านไร่
















พื้นที่มีปัญหาทรัพยากรดินของประเทศไทยแยกตามภาค

สภาพปัญหาทรัพยากรดิน
พื้นที่ (ล้านไร่)
ภาค เหนือ
ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ
ภาคกลาง
ภาคใต้
รวม
1. ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน
53.96
17.87
26.20
10.84
108.87
2. ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุ
10.20
75.70
10.90
1.90
98.70
3. ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม
71.39
75.30
37.40
25.75
209.84
   3.1 ดินเค็ม
-
17.80
1.60
2.30
21.70
   3.2 ดินเปรี้ยวจัด
-
-
3.28
0.89
4.17
   3.3 ดินกรด
12.38
27.11
11.22
13.56
64.27
   3.4 ดินอินทรีย์ (พรุ)
-
-
-
0.27
0.27
   3.5 ดินทรายจัด
0.86
2.60
2.30
1.21
6.97
   3.6 ดินค่อนข้างเป็นทราย
1.54
30.85
4.65
2.56
39.60
   3.7 ดินตื้น
13.09
15.53
9.24
3.11
40.97
   3.8 ดินบนพื้นที่สูง
55.90
8.50
16.30
15.40
96.10
4. การใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ถูกต้องตามศักยภาพ
6.20
21.20
3.90
4.30
35.60








ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน 
การชะล้างพังทลายของดิน คือ การที่ดินถูกกัดเซาะเป็นร่องหรือถูกขุดเป็นบริเวณกว้างเป็นการเปลี่ยนแปลงของผิวดินอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุ 2 ประการคือ
1.การชะล้างพังทลายตามธรรมชาติ เช่น พื้นดินแตกระแหงเนื่องจากลม พื้นดินริมฝั่งน้ำถูกกัดเซาะเนื่องจากน้ำ หน้าดินถูกน้ำฝนพัดพาไป
2.การชะล้างพังทลายโดยการกระทำของมนุษย์และสัตว์ เช่น การหักร้างถางป่า การขุดถนน การขุดเหมืองแร่ การระเบิดเขา การขุดที่อยู่อาศัยของสัตว์
เมื่อใดก็ตาม ถ้าผิวหน้าของดินปราศจากพืชปกคลุม การชะล้างและพัดพาของหน้าดินจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีฝนตก ปริมาณดินที่ถูกพัดพาออกไปนั้นจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณและความรุนแรงของฝนที่ตกลงมาแต่ละครั้ง เมื่อดินชั้นบนซึ่งอุดมสมบูรณ์ถูกชะล้างหมดไปแล้ว ดินชั้นล่างก็จะโผล่ขึ้น กลายเป็นดินชั้นบนแทน โดยจะสังเกตได้ง่ายคือมีสภาพแน่นทึบและแข็งมีอินทรียวัตถุต่ำ ซึ่งจะเป็นดินที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชหรือทำการเกษตรด้านอื่นอีกต่อไป


ผลจากการชะล้างพังทลายของดิน
ผลของการชะล้างพังทลายของดินนอกจากจะทำให้ดินเสื่อมโทรมแล้วยังมีผลกระทบโดยตรงต่อสภาพสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆอีกเช่น
            1.ทำให้พื้นที่อุดมสมบูรณ์ สำหรับการเพาะปลูกลดลง เกิดการบุกรุกทำลายป่าเพิ่มมากขึ้น เพื่อหาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า
            2.ตะกอนที่ถูกพัดพามา จะลงสู่แม่น้ำหรือแหล่งน้ำอื่นๆ ทำให้แม่น้ำหรือแหล่งน้ำตื้นเขิน น้ำขุ่นข้น ไม่เหมาะแก่การอุปโภคบริโภค
            3.ตะกอนที่ถูกพัดพาลงสู่อ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนต่างๆ ก็จะทำให้อายุการใช้งานของอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนเหล่านั้นลดลง
            4.ทำให้เกิดภาวะความแห้งแล้ง
5.ดินชั้นบนซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารของพืชถูกเคลื่อนย้าย เป็นผลกระทบต่อเกษตรกรรม
6.ดินเกิดเป็นร่องน้ำ
7.ดินถูกพัดพาไปตกตะกอนทำให้แม่น้ำและอ่างเก็บน้ำตื้นเขินและทำให้เกิดเป็นสันดอนขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมทางน้ำ

แนวทางการแก้ไขปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน
1.การใช้หญ้าแฝก
บริเวณที่ลาดชันนั้น เมื่อมีฝนตกลงมาจะพัดพาเอาผิวดิน ลงสู่พื้นดินที่ต่ำกว่าโดยความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้นตามความลาดชันของพื้นที่หญ้าแฝก เป็นหญ้าที่ทนทาน ปลูกง่าย ขึ้นได้ดีทั้งในดินดีและดินเลว หญ้าแฝกมีลักษณะขึ้นเป็นกอ โคนกออัดกันแน่น มีการเจริญเติบโตจากกอเล็กเป็นกอใหญ่โดยการแตกหน่อเส้นผ่าศูนย์กลางกอประมาณ 30 เซนติเมตรจากลักษณะการเจริญเติบโตของหญ้าแฝกดังกล่าว เมื่อนำมาปลูกเป็นแถวตามแนวระดับขวางความลาดเทของพื้นที่แล้ว หญ้าแฝกจะแตกหน่อเจริญเติบโตชิดติดกันจนมีลักษณะเสมือนมีรั้ว หรือกำแพงที่มีชีวิตกั้นขวางทิศทางน้ำที่ไหลบ่า รั้วหญ้าแฝกจะทำหน้าที่ชะลอความเร็ว ลดความรุนแรงของการไหลบ่าและน้ำจะกระจายตัวออกไปตามแนวรั้วหญ้าแฝก ทิ้งตะกอนดินและโคลนตมที่พัดพามาไว้ก่อนน้ำจะไหลผ่านแนวรั้วหญ้าแฝกไปน้ำส่วนใหญ่ก็จะซึมลงไปในดินทำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ได้ยาวนานที่ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ยังคงอยู่ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีและเป็นประโยชน์ต่อพืชที่ปลูกในพื้น
นอกจากนี้หญ้าแฝกยังมีระบบรากที่แข็งแรงหยั่งลึกลงไปในดินตามแนวดิ่งสานกันอย่างหนาแน่นมากกว่าที่จะแผ่ขยายในแนวกว้างการที่รากสานกันแน่นและหยั่งลึกก็เปรียบเสมือนมีกำแพงใต้ดิน ซึ่งนอกจากจะช่วยในการดูดซับน้ำและกักน้ำไว้ในดินแล้ว รากหญ้าแฝกยังจะช่วยยึดเกาะดิน ป้องกันการสูญเสียดินที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


2.การนำพื้นที่ที่มีความลาดชันมาใช้ในการปลูกพืช ควรมีมาตรการในการอนุรักษ์ดินและน้ำ ให้เหมาะสม กับสภาพพื้นที่และลักษณะดิน  ดังนี้
- ไถพรวนและปลูกพืชตามแนวระดับขวางความลาดเทของ พื้นที่ในกรณีที่พื้นที่มีความลาดชันไม่มากนัก (2-5 %)
- ปลูกแถบหญ้าแฝกขวางความลาดเทของพื้นที่เป็นช่วง     ในพื้นที่ที่มีความลาดเท 5 – 12  %  โดยพื้นที่ระหว่างแถบหญ้าแฝกสามารถปลูกพืชไร่ และไม้ผลได้
- พื้นที่ที่มีความลาดชัน   12 - 35% ควรมีการจัดทำขั้นบันไดดิน   คูรับน้ำรอบเขา ร่วมกับการปลูกหญ้าแฝก   เป็นต้น
- ควบคุมตะกอนดินที่เกิดจากการชะล้างพังทลายของดิน  ในพื้นที่ที่มีความลาดชัน โดยการทำบ่อดักตะกอนดินไว้ตามร่องน้ำหรือลำห้วยเพื่อดักตะกอนดินไว้ไม่ให้ไหลลงสู่ที่ต่ำ

ปัญหาดินถล่ม

ดินถล่ม คือ ปรากฏการณ์ที่ส่วนของพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ดิน ทราย โคลน หรือเศษดิน เศษต้นไม้ไหล เลื่อน เคลื่อน ถล่ม พังทลาล่น ลงมาตามที่ลาดเอียง อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดของโลก ในขณะที่สภาพส่วนประกอบของชั้นดิน ความชื้นและความชุ่มน้ำในดิน ทำให้เกิดการเสียสมดุล ดินถล่ม เป็นปรากฏการณ์ที่มีมาแต่สร้างโลก อาจเป็นเพียงเล็กน้อยเพียงก้อนหินก้อนเดียวที่ตกหรือหล่นลงมา หรือเศษของดินจำนวนไม่มากที่ไหลลงมา หรืออาจเกิดรุนแรงใหญ่โต เช่น ภูเขาหรือหน้าผา หรือลากเขาพังทลายลงมาก็ได้ และอาจเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด หรือค่อยๆ เป็นไปช้าๆ ก็ได้ จนกว่าจะเกิดความสมดุลใหม่จึงหยุด ดินถล่มมักเกิดตามมาหลังจากน้ำป่าไหลหลากในขณะที่เกิดพายุฝนตกหนักรุนแรงต่อเนื่อง หรือหลังการเกิดแผ่นดินไหว
สาเหตุที่ทำให้เกิดดินถล่ม
1.  สาเหตุตามธรรมชาติ (Natural causes)
1.1 ความแข็งแรงของดิน ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของดิน (Soil composition) ว่าเป็น หินหรือ ดิน ประเภทใด มีโครงสร้างหรือมีต้นไม้ประกอบยึดเกาะกันแข็งแรงแค่ไหน มีชั้นดินดานตื้นหรือลึกในลักษณะใด
1.2 ที่ที่มีความลาดเอียงมาก (Steep slope)
1.3 มีฝนตกมากนานๆ (Prolong heavy rain)
1.4 มีหิมะตกมาก (Heavy snowfall)
1.5 โครงสร้างของแผ่นดิน (Structure of soil) ความแตกต่างกันของชั้นดินที่น้ำซึมผ่านได้ กับชั้นที่น้ำซึมผ่านไม่ได้ ที่จะทำให้น้ำขังใต้ดินมากจนดินเหลวบนที่ลาดเอียง ทำให้เกิดการไหลได้
1.6 ฤดูกาล (Glacial erosion, rain, drought)
1.7 ต้นไม้ถูกทำลายโดยไฟป่าหรือความแล้ง (Vegetation removal by fire or drought)
1.8 แผ่นดินไหว (Earthquake)
1.9 คลื่น "สึนามิ" (Tsunami)
1.10 ภูเขาไฟระเบิด (Volcanic eruption)
1.11 การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดิน (Change in underground water)
1.12 การสึกกร่อนของชั้นหินใต้ดิน (Change in underground structure)
1.13 การกัดเซาะของฝั่งแม่น้ำ ฝั่งทะเล และไหล่ทวีป (Coastal erosion and change in continental slope)
2. สาเหตุจากมนุษย์(Human causes )
2.1 การขุดดินบริเวณไหล่เขา ลาดเขาหรือเชิงเขา ( Excavation of slope or its toe) เพื่อการเกษตร หรือทำถนน หรือขยายที่ราบในการพัฒนาที่ดิน หรือการทำเหมือง (Mining) ไม่ว่าบนภูเขาหรือพื้นราบ
2.2 การดูดทรายจากแม่น้ำ  หรือบนแผ่นดิน 
2.3 การขุดดินลึก ๆ ในการก่อสร้างห้องใต้ดินของอาคาร 
2.4 การบดอัดที่ดินเพื่อการก่อสร้าง  ทำให้เกิดการเคลื่อนของดินในบริเวณใกล้เคียง
2.5 การสูบน้ำใต้ดิน  น้ำบาดาล  ที่มากเกินไป  หรือการอัดน้ำลงใต้ดิน ในพื้นที่บางแห่ง
2.6 การถมดิน  ก่อสร้าง  เพิ่มน้ำหนัก บนภูเขา  หรือสันเขา (Loading or building on crest or slope)
2.7 การทำลายป่า (Deforestation)  เพื่อทำไร่ หรือสวนเกษตรกรรม
 2.8 การทำอ่างเก็บน้ำ (Reservoir) นอกจากเป็นการเพิ่มน้ำหนักบนภูเขาแล้ว ยังทำให้น้ำซึมลงใต้ดินมากจนเกินสมดุล
2.9 การเปลี่ยนแปลงทางน้ำธรรมชาติ (Change the natural stream) ทำให้ระบบน้ำใต้ดินเสียสมดุล
2.10 น้ำทิ้งจากอาคาร บ้านเรือน สวนสาธรณะ ถนน บนภูเขา (Water from utilities leakages or drainages)
2.11 การกระเทือนต่าง ๆ เช่นการระเบิดหิน (Artificial vibration)


กระบวนการเกิดดินถล่ม
-          เมื่อฝนตกหนักน้ำจะซึมลงไปในดิน จนกระทั่งดินอิ่มตัวด้วยน้ำ แรงยึดเกาะระหว่างมวลดินจะลดลงทำให้แรงต้านทานการเลื่อนไหลของดินลดลง
-          เมื่อน้ำใต้ดินมีระดับสูงขึ้น น้ำก็จะไหลภายในช่องว่างของมวลดินลงตามความชันของลาดเขา
-          เมื่อน้ำใต้ผิวดินมีระดับสูงก็จะไหลภายในช่องว่างของดิน ลงมาตามความชันของลาดเขา
-          เมื่อมีการเปลี่ยนความชัน ก็จะเกิดเป็นน้ำผุดและเป็นจุดแรกที่มีการเลื่อนไหลของดิน
-          เมื่อเกิดดินเลื่อนไหลแล้ว ก็จะเกิดต่อเนื่องขึ้นไปตามลาดเขา













ประเภทของดินถล่ม  (Types of Landslides)

จากส่วนประกอบของดิน และสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดดินถล่ม ดังกล่าวมาแล้ว  ทำให้ลักษณะของดินถล่มมีรูปแบบต่าง ๆ กัน ดังนี้  
1.      การตกหล่น ( Falls ) มักเป็นก้อนหิน( Rock )  หรือ หินก้อนใหญ่ทั้งก้อน ( Boulder ) อาจตกหล่นลงมาโดยตรง ( Free fall )  หรือตกกระดอน ๆ ลงมา ( Bouncing )  หรือกลิ้งลงมา ( Rolling )  และสำหรับกรณีที่หินร่วงตกลงมามาก ๆ เป็นกหญ่  เช่นจากภูเขาที่มีน้ำแข็ง  หินที่ตกลงมาจะกองเป็นรูปกรวยคว่ำ ( cone-shape )  เรียกว่า Talus slope
2.      ล้มหรือหกคะเมน ( Topple )  มักเป็นหินที่เป็นแผ่นเป็นแท่งที่แตกและล้มคะเมนลงมา
3.      การคืบ - เคลื่อนไปช้า ๆ  (Creep)   ของดิน หรือหิน   เนื่องจากมีแรงดึงไปน้อย   พอที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ แต่อย่างช้า ๆ มาก ๆ   ซึ่งมี  3 รูปแบบ คือ
1. เคลื่อนตามฤดูกาล ( Seasonal )  ที่มีความชุ่มและอุณหภูมิของดินชั้นล่างพอดีของแรงที่ทำให้เกิดการเคลื่อนได้
            2. เคลื่อนอย่างคงที่ตลอดเวลา ( Continuous ) จากแรงตึงมีมีอย่างคงที่
            3. เคลื่อนด้วยอัตราเร่ง ( Progressive )  เพราะความลาดชันที่ทำให้แรงเคลื่อนเพิ่มขึ้นตามลำดับ
4.1  Transitional slide   ถ้าพื้นดินชั้นล่างเป็นแผ่นระนาบค่อนข้างเรียบ   พื้นดินข้างบนก็จะเคลื่อนลงมาในแนวขนานกับที่ลาดเอียงนั้น   ทิ้งรอยแยกเป็นร่องไว้ด้านบน
4.2  Rotational slide    เมื่อพื้นชั้นล่างที่ดินแยกตัวเป็นที่ลาดโค้งเว้า  ดินที่จะเคลื่อนลงมาก็จะเคลื่อนโค้งหมุนตัวรอบแกนที่ขวางขนานกับที่ลาดเอียงนั้น หมุนตัวเข้าด้านใน  หากมีต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้างอยู่บนนั้น ก็จะเห็นการเอียงเข้าหาด้านบนได้  ส่วนรอยเคลื่อนของผิวดินตรงขอบบนจะเป็นรอยโค้งเว้าขึ้นไปด้านบน  ทิ้งร่องรอยเป็นหน้าผาเว้าที่ชันกว่าเดิม  ส่วนที่พื้นดินด้านล่างลงไปจะมีดินถูกดันโป่งออกมาเป็นหย่อม ๆ ลักษณะคล้ายนิ้วเท้า เรียกว่า Toe   เป็นลักษณะให้สังเกตรู้ได้ว่า ที่ข้างบนขึ้นไปเคยมีดินถล่ม Landslide ดินที่เคลื่อน แบบนี้  จะมีส่วนที่ยังเกาะเป็นชิ้นเป็นผืนเดียวกัน  เรียกว่า Slump  
5. การไหล (Flows) เกิดจากมีส่วนประกอบของน้ำจำนวนมากและและไหลเร็วลงมาตามที่ลาดชัน  มีหลายแบบ ได้แก่
5.1 เศษดินทรายและเศษต้นไม้ (Debris flow) เป็นเศษชิ้นเล็ก ๆ และผงขนาดเม็ดทรายที่ไหลมากับน้ำ พบเห็นบ่อยทั่วไป
            5.2 การถล่มของก้อนหิมะที่ทับถมกันเป็นจำนวนมาก (Debris avalanche)
            5.3 ดินไหล (Earth flow)  มักเกิดในที่ไม่ลาดชันนัก ที่มีส่วนประกอบเป็นดิน โคลน และก้อนกรวดเล็ก ๆ ในบริเวณที่ชุ่มน้ำมากจนเป็นส่วนผสมที่เหลวจนไหลได้  จึงไหวลงมาเป็นทางแคบ ๆ  มากองอยู่ในที่ต่ำลงมา    ทิ้งร่องรอยที่เดิมเป็นแอ่ง  ทำให้เป็นรูปคล้ายนาฬิกาทราย
            5.4 โคลนไหล ( Mudflow )  เกิดเช่นเดียวกับข้อก่อน  แต่มีส่วนผสมเป็นโคลนและทรายและน้ำ  ซึ่งในบางครั้งน้ำโคลนที่ขังอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมากอาจทะลักและไหลออกมาอย่างรวดเร็วเป็นกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ( Torrent ) สามารถไหลไปได้ไกล  ลงไปท่วมในที่ต่ำข้างล่างได้  และหากท่วมเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองบริเวณเชิงเขา  จะทำให้ผู้คนเสียชีวิตได้มาก เพราะหนีออกจากน้ำโคลนได้ยาก   ส่วนโคลนร้อนที่ถูกพ่นออกมาจากภูเขาไฟ  เรียกว่า  Lahar 
6. การเคลื่อนแผ่ออกไปด้านข้าง( Lateral  spreading )  เกิดในที่ลาดชันน้อยหรือที่ราบ เนื่องจากมีความชุ่มน้ำมากจนพื้นดินเริ่มเหลวตัว ( Liquefaction )  พื้นดินไม่มีแรงพอที่จะเกาะกุมกัน  จึงแผ่ตัวออกไปทางข้าง ๆ    และบางครั้งตรงขอบบนของที่ลาดเอียงเล็กน้อยนั้น อาจเกิดรอยแยกของดิน  หรือตรงด้านข้างอาจเกิดการหมุนตัวของแผ่นดิน หรือในที่ลาดเอียงบางแห่งจะมีการเคลื่อนเร็วขึ้น จนเป็นดินเลื่อน หรือดินไหลได้



ปัจจัย ที่ทำให้เกิดดินถล่ม

1.      พื้นที่เป็นหินแข็งเนื้อแน่นแต่ผุง่าย
2.      มีชั้นดินสะสมตัวหนาบนภูเขา
3.      ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชัน ที่ลาดเชิงเขา หุบเขาและหน้าผา
4.      ป่าไม้ถูกทำลาย
5.      มีฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน (มากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน)
6.      ภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น พายุ, แผ่นดินไหว และไฟป่า

ลักษณะพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม
กรมทรัพยากรธรณีได้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลสำรวจเก็บข้อมูลทางธรณีวิทยาและสภาพแวดล้อมของพื้นที่เบื้องต้นและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลอื่นพบว่าใน 51 จังหวัด ทั่วประเทศซึ่งมีลักษณะพื้นที่เสี่ยงภัยต่อดินถล่มอยู่บริเวณลาดเชิงเขาและที่ลุ่มใกล้เขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าวมีความเสี่ยงภัยต่อดินถล่มมาก
เนื่องจากเมื่อมีพายุฝนตกหนักต่อเนื่องจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่มตามมาได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนดังนั้นประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจึงควรให้ความสนใจและระมัดระวังเป็นพิเศษ



ลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้านที่เสี่ยงภัยดินถล่มมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
1.      อยู่ติดภูเขาและใกล้ลำห้วย
2.      มีร่องรอยดินไหลหรือดินเลื่อนบนภูเขา 
3.      มีรอยแยกของพื้นดินบนภูเขา
4.      อยู่บนเนินหน้าหุบเขาและเคยมีโคลนถล่มมาบ้าง
5.      ถูกน้ำป่าไหลหลากและท่วมบ่อย
6.      มีกองหิน เนินทรายปนโคลนและต้นไม้ ในห้วยใกล้หมู่บ้าน
7.      พื้นห้วยจะมีก้อนหินขนาดเล็กใหญ่อยู่ปนกันตลอดท้องน้ำ

ข้อสังเกตหรือสิ่งบอกเหตุก่อนเกิดดินถล่ม
1.      มีฝนตกหนักถึงหนักมาก (มากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน)
2.      ระดับน้ำในห้วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
3.      สีของน้ำเปลี่ยนเป็นสีของดินบนภูเขา
4.      มีเสียงดัง อื้ออึง ผิดปกติดังมาจากภูเขาและลำห้วย
5.      น้ำท่วมหมู่บ้าน และเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว

แนวทางการแก้ไขปัญหาดินถล่ม
การแก้ไขปัญหาดินถล่มในระยะยาวอาจทำได้โดยการปลูกต้นไม้เพื่อให้ช่วยซับน้ำและปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำ จะช่วยป้องกันการเกิดดินถล่มได้ และในหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ที่ราบเชิงเขาไม่ควรสร้างบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำหรือลำห้วยมากเกินไปพร้อมกับจัดเวรยามเดินตรวจตราดูสถานการณ์รอบ ๆ หมู่บ้านเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติและแจ้งเตือนภัยให้ผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้ทราบทันที ยังต้องและติดตามฟังข่าวพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทราบถึงสภาพอากาศด้วย




ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางเกษตรกรรม
ดินที่มีปัญหา หมายถึง ดินตามธรรมชาติที่มีความผิดปกติแตกต่างไปจากดินทั่วไป โดยจะมีคุณสมบัติบางประการที่ไม่เหมาะสม ถึงขั้นเป็นอุปสรรค์ต่อการเจริญเติบโตตามปกติของพืช เช่น ดินมีความเป็นกรดรุนแรง ดินมีความเค็มมากเกินไป หรือดินเป็นดินทรายจัด เป็นต้น
1.      ปัญหาดินเค็ม
ดินเค็ม (saline soil) หมายถึงดินที่มีปริมาณเกลือที่ละลายอยู่ในสารละลายดินมากเกินไปจนมีผล กระทบต่อการเจริญเติบโตและผลิตผลของพืช เนื่องจากทำให้พืชเกิดอาการขาดน้ำ และมีการสะสมไอออนที่เป็นพิษในพืชมากเกินไปนอกจากนี้ยังทำให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารพืชด้วย
ลักษณะการเกิดและการแพร่กระจายดินเค็ม
ดินเค็มในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ดินเค็มบกและดินเค็มชายทะเล ดินเค็มบกมีทั้งดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และดินเค็มภาคกลาง ดินเค็มแต่ละประเภทมีสาเหตุการเกิด ชนิดของเกลือ การแพร่กระจาย ตามลักษณะสภาพพื้นที่ และตามลักษณะภูมิประเทศด้วย ดังนี้
ดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แหล่งเกลือมาจากหินเกลือใต้ดิน น้ำใต้ดินเค็มหรือหินทราย หินดินดานที่อมเกลืออยู่ ลักษณะอีกประการหนึ่งคือ ความเค็มจะไม่มีความสม่ำเสมอในพื้นที่เดียวกันและความเค็มจะแตกต่างกันระหว่างชั้นความลึกของดินซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ลักษณะของดินเค็มที่สังเกตได้คือ จะเห็นขุยเกลือขึ้นตามผิวดิน และมักเป็นที่ว่างเปล่าไม่ได้ทำการเกษตร หรือมีวัชพืชทนเค็ม เช่น หนามแดง หนามปี เป็นต้น
ดินเค็มภาคกลาง
แหล่งเกลือเกิดจากตะกอนน้ำกร่อย หรือเค็มที่ทับถมมานานหรือเกิดจากน้ำใต้ดินเค็มทั้งที่อยู่ลึกและอยู่ตื้น เมื่อน้ำใต้ดินไหลผ่านแหล่งเกลือแล้วไปโผล่ที่ดินไม่เค็มที่อยู่ต่ำกว่าทำให้ดินบริเวณที่ต่ำกว่านั้นกลายเป็นดินเค็มทั้งนี้ขึ้นกับภูมิประเทศแต่ละแห่งสาเหตุการเกิดแพร่กระจายออกมามาก ส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์โดยการสูบน้ำไปใช้มากเกินไป เกิดการทะลักของน้ำเค็มเข้าไปแทนที่ การชลประทาน การทำคลองชลประทานรวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ในไร่นาบนพื้นที่ที่มีการทับถมของตะกอนน้ำเค็ม หรือจากการขุดหน้าดินไปขายทำให้ตะกอนน้ำเค็มถึงจะอยู่ลึกนั้น กลายเป็นแหล่งแพร่กระจายเกลือได้
ดินเค็มชายทะเล
สาเหตุการเกิดดินเค็มชายทะเลเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลจากการขึ้นลงของน้ำทะเลโดยตรง องค์ประกอบของเกลือในดินเค็มเกิดจากการรวมตัวของธาตุที่มีประจุบวกพวกโซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม รวมกับธาตุที่ประจุลบ เช่น คลอไรด์ ซัลเฟต ไบคาร์บอเนต และคาร์บอเนต ดินเค็มที่เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในรูปของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) คล้ายคลึงกับดินเค็มชายทะเล แต่ดินเค็มชายทะเล มีแมกนีเชียมอยู่ในรูปคลอไรด์และซัลเฟตมากกว่า ส่วนชนิดของเกลือในดินเค็มภาคกลางมีหลายรูปมีหลายแห่งที่ไม่ใช่เกลือ NaCl แต่มักจะพบอยู่ในรูปของเกลือซัลเฟต คลอไรด์ ไบคาร์บอเนต หรือ คาร์บอเนตของแมกนีเซียม แคลเซียม และโซเดียม

สาเหตุการแพร่กระจายดินเค็ม
เกลือเกิดขึ้นเป็นเกลือที่ละลายน้ำได้ดี น้ำจึงเป็นตัวการหรือพาหนะในการพาเกลือไปสะสมในที่ต่าง ๆ ที่น้ำไหลผ่าน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดการแพร่กระจายดินเค็ม
สาเหตุจากธรรมชาติ
หินหรือแร่ที่อมเกลืออยู่เมื่อสลายตัวหรือผุพังไป โดยกระบวนการทางเคมีและทางกายภาพ ก็จะปลดปล่อยเกลือต่างๆ ออกมาเกลือเหล่านี้อาจสะสมอยู่กับที่หรือเคลื่อนตัวไปกับน้ำแล้วซึมสู่ชั้นล่างหรือซึมกลับมาบนผิวดินได้โดยการระเหยของน้ำไปโดยพลังแสงแดดหรือถูกพืชนำไปใช้น้ำใต้ดินเค็มที่อยู่ระดับใกล้ผิวดินเมื่อน้ำนี้ซึมขึ้นบนดิน ก็จะนำเกลือขึ้นมาด้วยภายหลังจากที่น้ำระเหยแห้งไปแล้วก็จะทำให้มีเกลือเหลือสะสมอยู่บนผิวดินและที่ลุ่มที่เป็นแหล่งรวมของน้ำ น้ำแหล่งนี้ส่วนมากจะมีเกลือละลายอยู่เพียงเล็กน้อยก็ได้นานๆเข้าก็เกิดการสะสมของเกลือโดยการระเหยของน้ำพื้นที่แห่งนั้นอาจเป็นหนองน้ำหรือทะเลสาบเก่าก็ได้
สาเหตุจากการกระทำของมนุษย์
การทำนาเกลือ ทั้งวิธีการสูบน้ำเค็มขึ้นมาตากหรือวิธีการขูดคราบเกลือจากผิวดินมาต้ม เกลือที่อยู่ในน้ำทิ้งจะมีปริมาณมากพอที่จะทำให้พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกลายเป็นพื้นที่ดินเค็มหรือแหล่งน้ำเค็ม การสร้างอ่างเก็บน้ำบนพื้นที่ดินเค็มหรือมีน้ำใต้ดินเค็ม ทำให้เกิดการยกระดับของน้ำใต้ดินขึ้นมาทำให้พื้นที่โดยรอบและบริเวณใกล้เคียงเกิดเป็นพื้นที่ดินเค็มได้ การชลประทานที่ขาดการวางแผนในเรื่องผลกระทบของดินเค็มมักก่อให้เกิดปัญหาต่อพื้นที่ซึ่งใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานนั้นๆ แต่ถ้ามีการคำนึงถึงสภาพพื้นที่และศึกษาเรื่องปัญหาดินเค็มเข้าร่วมด้วย จะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาดินเค็มได้วิธีหนึ่งและการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้สภาพการรับน้ำของพื้นที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากมายจากสภาพทางอุทกธรณีของน้ำเปลี่ยนแปลงไป แทนที่พืชจะใช้ประโยชน์กลับไหลลงไปในระบบส่งน้ำใต้ดินเค็มทำให้เกิดปัญหาดินเค็มตามมา

แนวทางการแก้ไขปัญหาดินเค็ม
การป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายดินเค็มเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากสาเหตุการเกิด ดำเนินการได้โดยวิธีการทางวิศวกรรม วิธีทางชีวิทยา และวิธีผสมผสานระหว่างทั้งสองวิธี
วิธีทางวิศวกรรม จะต้องมีการออกแบบพิจารณาเพื่อลดหรือตัดกระแสการไหลของน้ำใต้ดินให้อยู่ในสมดุลของธรรมชาติมากที่สุด ไม่ให้เพิ่มระดับน้ำใต้ดินเค็มในที่ลุ่ม
วิธีทางชีวิทยา โดยใช้วิธีการทางพืชเช่นการปลูกป่าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายดินเค็ม มีการกำหนดพื้นที่รับน้ำที่จะปลูกป่า ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้โตเร็วมีรากลึก ใช้น้ำมากบนพื้นที่รับน้ำที่กำหนด เพื่อทำให้เกิดสมดุลการใช้น้ำและน้ำใต้ดินในพื้นที่ สามารถแก้ไขลดความเค็มของดินในที่ลุ่มที่เป็นพื้นที่ให้น้ำได้
วิธีผสมผสาน การแก้ไขลดระดับความเค็มดินลงให้สามารถปลูกพืชได้ โดยการใช้น้ำชะล้างเกลือจากดินและการปรับปรุงดิน ดินที่มีเกลืออยู่สามารถกำจัดออกไปได้โดยการชะล้างโดยน้ำ การให้น้ำสำหรับล้างดินมีทั้งแบบต่อเนื่องและแบบขังน้ำเป็นช่วงเวลา แบบต่อเนื่องใช้เวลาในการแก้ไขดินเค็มได้รวดเร็วกว่าแต่ต้องใช้ปริมาณน้ำมาก ส่วนแบบขังน้ำใช้เวลาในการแก้ไขดินเค็มช้ากว่า แต่ประหยัดน้ำ
การใช้พื้นที่ดินเค็มให้เกิดประโยชน์ตามสภาพที่เป็นอยู่ ไม่ปล่อยให้พื้นดินว่างเปล่า โดยการคลุมดินหรือมีการเพิ่มผลผลิตพืชโดยเปลี่ยนพืชเป็นพืชเศาษฐกิจที่เหมาะสม เช่นพืชทนเค็ม พืชชอบเกลือ

2.      ปัญหาดินเปรี้ยว
ดินเปรี้ยว หรือดินกรด (Acid soil) หมายถึง ดินที่มีค่า pH วัดได้ต่ำกว่า 7.0 ดังนั้น ดินเปรี้ยวจัด (Acid sulfate soil) จึงเป็นดินเปรี้ยวหรือดินกรดชนิดหนึ่ง แต่มีความหมายแตกต่างจากดินกรดโดยทั่ว ๆ ไป หรือดินกรดธรรมดา หนังสือคำบัญญัติศัพท์ ภูมิศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2523) ได้ให้ความหมายว่า acid sulfate soil หมายถึง ดินเปรี้ยวจัด ดินกรดจัด หรือดินกรดกำมะถัน
ดินเปรี้ยวจัด นับว่าเป็นดินที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากพื้นที่ดินเปรี้ยวส่วนใหญ่แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะที่ราบลุ่มภาคกลางตอนใต้ บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้และชายฝั่งทะเลตะวันออกของภาคใต้ ดินเปรี้ยวจัดส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำขังอยู่ตลอดช่วงฤดูฝนและลักษณะของดินเป็นดินเหนียวจึงจัดใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวให้ผลผลิตข้าวต่ำ ถึงแม้สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเหมาะสมต่อการทำนาก็ตาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ซึ่งไม่ใช่ดินเปรี้ยวจัดซึ่งจะให้ผลผลิตเฉลี่ยมากกว่าหลายเท่า ดังนั้นการแก้ไขปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดจึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาถึงปัญหาและอุปสรรคของดินเปรี้ยวจัด พบว่าความเป็นกรดอย่างรุ่นแรงของดินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเจริญเติบโตของพืชและผลผลิตของพืชตกต่ำ เพราะทำให้ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารหลักของพืชลดลงหรือมีไม่พอเพียงต่อความต้องการของพืช ธาตุอาหารของพืชที่มีอยู่ในระดับต่ำคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ส่วนธาตุอาหารของพืชบางชนิดมีเกินความจำเป็นซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อการเจริญเติบโนและผลผลิตของพืชที่ปลูก เช่น อลูมิเนียม เหล็ก แมงกานีส และความเป็นกรดจัดยังมีผลต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินและมีประโยชน์ต่อพืชมีปริมาณที่ลดลง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องหาลู่ทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเป็นการแก้ปัญหาการใช้ทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป

ประเภทของดินเปรี้ยว
ดินกรดเป็นดินที่ปัญหาทางการเกษตรเนื่องจากสมบัติที่เป็นกรดซึ่งมีผลต่อกระบวนการเจริญเติบโตของพืชแล้วส่งผลต่อปริมาณผลิตผลทางการเกษตร พบว่าดินกรดจะมีลักษณะของดินและกระบวนการเกิดดินสามารถแบ่งประเภทของดินได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ดินเปรี้ยวจัด ดินกรดจัด หรือดินกรดกำมะถัน (Acid sulfate soil) เป็นดินทีเกิดจากการตกตะกอนของน้ำทะเลหรือตะกอนน้ำกร่อย ที่มีสารประกอบของกำมะถันซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดกำมะถันตามกระบวนการธรรมชาติสะสมในชั้นหน้าตัดของดินโดยจะเป็นดินที่มีความเป็นกรดสูง ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างรุนแรง เช่นขาดธาตุฟอสฟอรัส ไนโตรเจนแถมยังมีธาตุอาหารบางชนิดเกินความจำเป็นซึ่งส่งผลร้ายหรือเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืชเช่น ธาตุเหล็ก อลูมิเนียม เป็นต้น
2. ดินอินทรีย์ หรือโดยทั่วไปเรียกว่าดินพรุในประเทศมีดินที่เป็นดินอินทรีย์แพร่กระจายอยู่หนาแน่นอยู่ตามแนวชายแดนหรือเขตชายแดนไทยและมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่นอกจากนั้นยังพบโดยทั่ว ๆ ไปในภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศ พื้นที่ที่เป็นพื้นที่พรุหรือพื้นที่ดินอินทรีย์นั้น ตามธรรมชาติจะเป็นที่ลุ่มน้ำที่มีน้ำขังอยู่ตลอดทั้งปีซึ่งเกิดจากการทับถมของพืชต่าง ๆ ที่เปื่อยผุพังเป็นชั้นหนาตั้งแต่ 40 เซนติเมตร ไปจนถึงมีความหนาประมาณ 10 เมตร มี่การสลายตัวอย่างช้าๆทำให้กรดอินทรีย์ถูกปล่อยออกมาสะสมอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง ดินชนิดนี้จะมีปริมาณดินเหนียวต่ำ และมีปริมาณธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อพืชอยู่น้อยดินชนิดนี้ที่พบในบริเวณที่ราบลุ่มตามชายทะเลจะมีดินเปรี้ยวจัดแฝงอยู่ในชั้นล่างของดิน ถ้ามีการระบายน้ำออกจากพื้นที่บริเวณพื้นที่พรุจนถึงระดับของดินเปรี้ยวจัดแฝงอยู่จะก่อให้ปัญหาใหม่ตามมาคือจะเกิดเป็นดินกรดกำมะถันขึ้น ทำให้มีปัญหาซ้ำซ้อนทั้งดินเปรี้ยวจัดและดินอินทรีย์ ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
3. ดินกรด หรือดินกรดธรรมดา ดินกรดหรือดินกระธรรมดา เป็นดินเก่าแก่อายุมากซึ่งพบได้โดยทั่วไป ดินกรดเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่เขตร้อนชื้นมีฝนตกชุก ดินที่ผ่านกระบวนการชะล้างหรือดินที่ถูกใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำเนื่องจากดินเหนียวและอินทรีย์วันถุถูกชะล้างไปด้วยมีผลทำให้ความอุดมสมบูรณ์โดยทั่วๆ ไปของดินต่ำจนถึงต่ำมาก นอกจากนี้ดินยังมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำอีกด้วย

กระบวนการเกิดดินเปรี้ยวจัด
กระบวนการเกิดดินเปรี้ยวจัด ประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญคือกระบวนการเกิดวัตถุต้นกำเนิดดินเปรี้ยวจัดหรือเรียกว่ากระบวนการสร้างดินทางธรณีวิทยา (geogenetic process) และกระบวนการเกิดชั้นดินเปรี้ยวจัดหรือเรียกว่า กระบวนการสร้างดินทางปฐพีวิทยา (pedogenetic process) ซึ่งกระบวนการเกิดวัตถุต้นกำเนิดดินเปรี้ยวจัดจะเกี่ยวข้องกับการเกิดสารประกอบไพไรท์ (pyrite) หรือสารประกอบซัลไฟด์ แต่กระบวนการเกิดชั้นดินเปรี้ยวจัดจะเกี่ยวข้องกับการออกซิไดซ์สารไพไรท์แล้วเกิดเป็นสารประกอบของกรดกำมะถัน

กระบวนการสร้างดินทางธรณีวิทยา (geogenetic process)
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ทำให้ดินนั้นมีการสะสมตะกอนและสารประกอบไพไรท์ (FeS2) ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการสะสมตะกอนที่พัดพามาโดยแม่น้ำ ลำน้ำ และน้ำทะเลบริเวณปากแม่น้ำ ทำให้มีการตกตะกอน การทับถมกัน เกิดเป็นพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ซึ่งตะกอนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นตะกอนดินเหนียวเนื้อละเอียดหรือค่อนข้างละเอียด ตะกอนทรายรวมทั้งอินทรีย์วัตถุ ตะกอนที่พัดมาทับถมกันนี้อาจะมีตะกอนของสารประกอบซัลไฟด์โดยเฉพาะไพไรท์ (pyrite) รวมอยู่ด้วย เรียกขั้นตอนนี้ว่า “primary pyrite” เมื่อระยะเวลาผ่านไปชั้นของตะกอนจะเพิ่มความหนาแน่นมากขึ้นทำให้พื้นผิวด้านบนของตะกอนอยู่สูงขึ้น หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีสันธานของผิวโลกบริเวณปากอ่าว ทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลมีมากขึ้นและมีการทับถมของตะกอนเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผิวหน้าของตะกอนอยู่เหนือระดับน้ำทะเลไม่มากนักซึ่งยังอยู่ในสภาพน้ำขัง ต่อมาจะมีพืชบางชนิดที่ชอบขึ้นอยู่แถบพื้นที่ชายทะเล เช่น พืชพวกแสม โกงกาง เสม็ด ลำพูน เป็นต้น สามารถเจริญเติบโตบนตะกอนชายเลนนี้ได้ ต่อมาเมื่อพืชเหล่านี้ตาย ทำให้ดินเริ่มมีการสะสมอินทรีย์วัตถุขึ้นจากการเน่าเปื่อยของเศษพืชที่ตายไปในพื้นที่นั้น จากการที่มีน้ำแช่ขังอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดินขาดออกซิเจนผนวกกับจุลินทรีย์ใดดินช่วยย่อยอินทรีย์วัตถุและปล่อยพลังงานออกมา ซึ่งจะทำให้สารประกอบซัลเฟต และเหล็กที่มีอยู่ในน้ำทะเลเกิดการรวมตัวกันและแปรสภาพเป็นสารไพไรท์ และมีการสะสมสารไพไรท์อย่างช้าๆ และเป็นระยะเวลานานมากขึ้น ปริมาณของไพไรท์ที่สะสมก็จะมีสูงขึ้นและเรียกกระบวนการในขั้นตอนนี้ว่า “secondary pyrite” หรือกระบวนการสะสมไพไรท์ (pyritization) ถ้ากระบวนการนี้ดำเนินต่อไป สารไพไรท์ก็จะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ มักจะเกิดการสะสมอยู่มากในบริเวณที่มีรากพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรากพืชที่กำลังเน่าเปื่อยและสลายตัว ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการสะสมไพไรท์ได้แก่ปริมาณของสารประกอบคาร์บอเนตที่มีอยู่ในตะกอน ถ้าอิทธิพลของน้ำขึ้นและน้ำลงมีมาก จะทำให้เกิดการสูญเสียคาร์บอเนตออกไป ละลายลงไปกับน้ำทะเล นอกจากนั้นการสูญเสียคาร์บอเนตมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดสภาพที่เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมสำหรับเกิดการสะสมของไพไรท์ ไพไรท์ที่เกิดขึ้นในการะบวนการนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ดินที่เกิดขึ้นเป็นดินเปรี้ยวจัดและเราเรียกกระบวนการสมสมไพไรท์นี้ว่า “tertiary pyrite” โดยจะพบอยู่ในดินบนของดินในบริเวณนั้น
กระบวนการสร้างดินทางปฐพีวิทยา (pedogenetic process)
กระบวนการนี้จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสภาพแวดล้อมของดินเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่น้ำไม่แช่ขังอยู่ในดินเป็นระยะเวลาถาวรอีกต่อไปมีช่วงแห้งเกิดขึ้นเป็นบางช่วงในรอบปี การเปลี่ยนแปลงทางธรณีสัณฐาน เช่น การถอยร่นของฝั่งทะเล (Regression of shoreline) จะทำให้พื้นที่ที่นั้นน้ำไม่ท่วมอย่างถาวรอีกต่อไป หรือเกิดจากการระบายน้ำออกไปโดยมนุษย์เพื่อใช้ในกิจการต่าง ๆ
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้ดินเริ่ม สุก” (Ripening) หรือ แข็งหรือแปรสภาพการแปรสภาพของดินดังกล่าว ได้แก่ การแปรสภาพทางกายภาพ (Physical ripening) การแปรสภาพทางชีวภาพ (biological ripening) และการแปรสภาพทางเคมี (chemical ripening) กระบวนการทั้ง 3 กระบวนการนี้อาจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน หรือ ใกล้เคียงกันก็ได้แล้วแต่กรณี รายละเอียดของแต่ละกระบวนการอธิบายได้ดังนี้
กระบวนการแปรสภาพทางกายภาพ เป็นกระบวนการที่ดินเริ่มแปรสภาพจากดินเลนเป็นดินที่มีความแข็งตัวขึ้น กระบวนการนี้เริ่มขึ้นเมื่อน้ำในดินถูกระบายออกไป หรือเมื่อน้ำแห้งลง การแตกระแหงของดินในฤดูแล้งและการที่มีพืชชนิดต่าง ๆ เจริญเติบโตในบริเวณดังกล่าว จะเป็นการช่วยเร่งให้ดินสูญเสียน้ำและทำให้ดินแข็งตัวเร็วขึ้นอีกด้วย
กระบวนการทางชีวภาพ เป็นกระบวนการส่งเสริมกระบวนการแปรสภาพทางเคมีที่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้โดยมีจุลินทรีย์ในดินเข้มร่วมปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ทำให้กระบวนการทางเคมีเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้น
กระบวนการแปรสภาพทางเคมี เป็นกระบวนการที่เริ่มจากสารประไพไรท์ถูกออกซิไดซ์แล้วให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้เป็นกรดกำมะถัน และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีอื่นๆ หรือทำให้เกิดสารประกอบต่างๆ เช่น สารประกอบจาโรไซท์ หรือเกิดจุดประสีสนิมหล็ก สีเหลืองหรือสีแดงเกิดขึ้น กระบวนการนี้นอกจากเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเกิดกรดภายในดินแล้วยังรวมไปถึงกระบวนการที่กรดนั้นถูกสะเทินโดยสารประกอบพวกคาร์บอเนตอีกด้วย

แนวทางการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว
1. วิธีการควบคุมระดับน้ำใต้ดิน
ป้องการเกิดกรดกำมะถันโดยการควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารประกอบไพไรท์อยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้สารประกอบไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศหรือถูกออกซิไดซ์ โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.      วางระบบการระบายน้ำทั่วทั้งพื้นที่
2.      ระบายน้ำเฉพาะส่วนบนออกเพื่อชะล้างกรด
3.      รักษาระดับน้ำในคูระบายน้ำให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1 เมตรจากผิวดินตลอดทั้งปี


2. วิธีการ " แกล้งดิน " ตามพระราชดำริ
วิธีการปรับปรุงดินอันเนื่องมาจากพระราชดำริ "แกล้งดิน" สามารถเลือกใช้ได้ 3 วิธีการตามแต่สภาพของดินและความเหมาะสม คือ
1. การใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด : เป็นการใช้น้ำชะล้างดินเพื่อล้างกรดทำให้ค่า pH เพิ่มขึ้นโดยวิธีการปล่อยน้ำให้ท่วมขังแปลง แล้วระบายออกประมาณ 2-3 ครั้ง โดยทิ้งช่วงการระบายน้ำประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง ดินจะเปรี้ยวจัดในช่วงดินแห้งหรือฤดูแล้ง ดังนั้นการชะล้างควรเริ่มในฤดูฝนเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำในชลประทาน การใช้น้ำชะล้างความเป็นกรดต้องกระทำต่อเนื่องและต้องหวังผลในระยะยาวมิใช่กระทำเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแต่จำเป็นต้องมีน้ำมากพอที่จะใช้ชะล้างดินควบคู่ไปกับการควบคุมระดับน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือดินเลนที่มีไพไรท์มากเมื่อล้างดินเปรี้ยวให้คลายลงแล้วดินจะมีค่า pH เพิ่มขึ้นอีกทั้งสารละลายเหล็กและอลูมิเนียมที่เป็นพิษเจือจางลงจนทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี
2. การแก้ไขดินเปรี้ยวด้วยการใช้ปูนผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน ซึ่งมีวิธีการดังขั้นตอนต่อไปนี้คือ ใช้วัสดุปูนที่หาได้ง่ายในท้องที่ เช่น ใช้ปูนมาร์ล (marl) สำหรับถาคกลางหรือปูนฝุ่น (lime dust) สำหรับภาคใต้ หว่านให้ทั่ว 1-4 ตันต่อไร่ แล้วไถแปรหรือพลิกกลบดิน ปริมาณของปูนที่ใช้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเป็นกรดของดิน
3. การใช้ปูนควบคู่ไปกับการใช้น้ำชะล้างและควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เป็นวิธีการที่สมบรูณ์ที่สุดและใช้ได้ผลมากในพื้นที่ซึ่งเป็นดินกรดจัดรุนแรงและถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าเป็นเวลานาน

3.      ปัญหาดินทราย
ดินเนื้อทรายเป็นกลุ่มชุดดินที่ไม่อุ้มน้ำ ง่ายต่อการกัดกร่อน ความในการจับหรือแลกเปลี่ยนประจุธาตุอาหารต่ำ ความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก ขาดสารปรับปรุงบำรุงดิน จากผลการสำรวจของกรมพัฒนาที่ดิน พบว่ามีดินทรายทั่วประเทศประมาณ 6 ล้านไร่ กระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 3 ล้านไร่ และภาคอื่น ๆ ของประเทศ ซึ่งจะต้องมีการจัดการเป็นกรณีพิเศษกว่าดินทั่วไป จึงจะสามารถใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้
ดินทรายในพื้นที่ดอน
            พบตามบริเวณหาดทราย สันทรายชายทะเล หรือบริเวณพื้นที่ลาดถึงที่ลาดเชิงเขา เนื้อดินเป็นทรายตลอดมีการระบายน้ำดีมากจนถึงดีมากเกินไป ดินไม่อุ้มน้ำ และเกิดการชะล้างพังทะลายได้ง่ายเนื่องจากอนุภาคดินมีการเกาะตัวกันน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้ปลูกพืชไร่ เช่น มันสำปะหลัง สับปะรด

ดินทรายในพื้นที่ลุ่ม
            มักพบตามที่ลุ่มระหว่างสันหาด หรือเนินทรายชายฝั่งทะเล หรือบริเวณที่ราบที่อยู่ใกล้ภูเขาหินทราย ดินมีการระบายน้ำเลวหรือค่อนข้างเลว ทำให้ดินแฉะหรือมีน้ำขังเป็นระยะเวลาสั้นๆ ได้ หลังจากที่มีฝนตกหนัก บางแห่งใช้ทำนา บางแห่งใช้ปลูกพืชไร่ เช่น อ้อย และปอ บางแห่งเป็นทืทิ้งร้าง หรือเป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติ
นอกจากนี้ในบางพื้นที่ บริเวณหาดทรายเก่า หรือบริเวณสันทรายชายทะเล โดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกและภาคใต้ อาจพบดินทรายที่มีชั้นดินดานอินทรีย์ ซึ่งเป็นดินทรายที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือ ช่วงชั้นดินตอนบนจะเป็นทรายสีขาว แต่เมื่อขุดลึกลงมาจะพบชั้นทรายสีน้ำตาลปนแดงที่เกิดจากการจับตัวกันของสารประกอบพวกเหล็กและอินทรียวัตถุอัดแน่นเป็นชั้นดานในตอนล่าง ซึ่งในช่วงฤดูแล้งชั้นดานในดินนี้จะแห้งแข็งมากจนรากพืชไม่อาจชอนไชผ่านไปได้ ส่วนในฤดูฝนดินจะเปียกแฉะ ส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ป่าเสม็ด ป่าชายหาด ป่าละเมาะ หรือบางแห่งใช้ปลูกมะพร้าว มะม่วงหิมพานต์
ปัญหาของดินทรายแบ่งออกเป็น 3 ปัญหาหลัก ดังนี้
1. ปัญหาเกี่ยวกับการชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาที่รุนแรงในพื้นดินดอน พื้นที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ และรุนแรงมากในบริเวณพื้นภูเขา การชะล้างพังทลายของดินเกิดขึ้นรุนแรงในพื้นที่ที่มีความลาดชันตั้งแต่ 5 % ขึ้นไป ที่ใช้ในการปลูกพืชโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสมเนื่องจากอนุภาคของดินเกาะกันอย่างหลวมๆ การชะล้างพังทลายของดินทำให้เกิดปัญหาติดตามมาหลายชนิด เช่น เกิดสภาพเสื่อมโทรมมีผลกระทบทำให้แม่น้ำลำธาร เขื่อน อ่างเก็บน้ำชลประทานตื้นเขิน ฝนไม่ตกตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก
2. ปัญหาที่เกี่ยวกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินทรายจัด จะมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำปริมาณอินทรีย์วัตถุ ธาตุโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส ที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่ในเกณฑ์ต่ำถึงต่ำมาก ความสามารถในการแลกเปลี่ยนธาตุอาหารต่ำมาก เป็นเหตุให้การใช้ปุ๋ยเคมีให้ผลตอบสนองต่อพืชต่ำ และเป็นผลให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ลดลงด้วย
3. ปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพของดินไม่ดี ได้แก่ ดินแน่นทึบ โดยเฉพาะดินพื้นที่นาที่มีค่อนข้างเป็นทรายละเอียด มีอินทรีย์วัตถุเป็นองค์ประกอบต่ำ จะมีผลทำให้ดินอัดตัวแน่นทึบ ยากแก่การใชของรากพืช

แนวทางการแก้ไขปัญหาดินทราย
สำหรับดินทรายที่มีชั้นกรวดอยู่ในระดับตื้นจากผิวดิน หรือดินดานอัดแน่น ควรทำลายชั้นดินโดยการไถระดับลึกด้วยเครื่องมือพิเศษ หรือปลูกพืชรากลึก เช่น หญ้าแฝก เพื่อช่วยให้ดินชั้นล่างแตกเพื่อสะดวกในการระบายน้ำ

4.      ปัญหาดินตื้น
ดินตี้น หมายถึง ดินที่มีชั้นลูกรัง ก้อนกรวด เศษหิน ปะปนอยู่ในเนื้อดิน หรือมีชั้นหินปูนมาร์ล หรือพบชั้นหินพื้น อยู่ตื้นกว่า 50 เซนติเมตรจากผิวดิน เนื้อดินจะมีปริมาณชิ้นส่วนหยาบ กรวด หรือลูกรังปนอยู่ มากกว่าร้อยละ 35 ทำให้มีปริมาตรของดินน้อย ดินจึงอุ้มน้ำได้น้อย มักขาดแคลนน้ำในฤดูฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตต่ำ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. ดินตื้นที่มีการระบายน้ำเลว พบในบริเวณที่ราบต่ำที่มีน้ำขังในช่วงฤดูฝน แสดงว่าดินมีการระบายน้ำค่อนข้างเลว ขุดลงไปจากผิวดินที่ระดับความลึก 25-50 เซนติเมตร มีกรวดหรือลูกรังปนอยู่ในเนื้อดินมากกว่า 35 เปอร์เซ็นโดยปริมาตร ถ้าขุดลึกลงมาถัดไปจะเป็นชั้นดินที่มีศิลาแลงอ่อนปนทับอยู่บนชั้นหินผุ
2. ดินตื้นปนลูกรังหรือกรวดที่มีการระบายน้ำดี พบตามพื้นที่ลอนลาดหรือเนินเขา ตั้งแต่บริเวณผิวดินลงไปมีลูกรังหรือหินกรวดมนปะปนอยู่ในดินมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตร และดินประเภทนี้บางแห่งก็มีก้อนลูกรังหรือศิลาแดงโผล่กระจัดกระจายทั่วไปที่บริเวณผิวดิน
3. ดินตื้นปนหินมีการระบายน้ำดี พบตามพื้นที่ลอนลาดหรือบริเวณเนินภูเขา ดินประเภทนี้เมื่อขุดลงไปที่ความลึกประมาณ 30- 50 เซนติเมตร จะพบเศษหินแตกชิ้นน้อยใหญ่ปะปนอยู่ในเนื้อดินมากกว่า 35 เปอร์เซ็นโดยปริมาตร บางแห่งพบหินผุหรือหินแข็งปะปนอยู่กับเศษหิน บางแห่งมีก้อนหินและหินโผล่กระจัดกระจายทั่วไปตามหน้าดิน
4. ดินตื้นปนปูนมาร์ล พบตามพื้นที่ลาดถึงพื้นที่ลอนลาด หรือบริเวณที่ลาดเชิงเขา เมื่อขุดลงไปในระดับความลึกที่ 20-50 เซนติเมตร จะพบสารประกอบจำพวกแคลเซียมหรือแมกนิเซียมคาร์บอเนตปนอยู่ ทำให้ดินประเภทนี้จัดว่าเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่มีข้อเสียคือมีปฏิกิริยาเป็นด่าง เป็นข้อจำกัดต่อพืชบางชนิดที่ไวต่อความเป็นด่าง เช่น สัปปะรด

การเกิดดินตี้น
            เกิดมาจากวัตถุกำเนิดดิน เช่น หินดินดานเชิงเขา หรือเศษหินเชิงเขา ที่ส่วนใหญ่เป็นพวกหินตะกอนเนื้อหยาบ คือ หินทราย หินกรวดมน แตกกระจัดกระจายร่วงหล่นออกมาทับทมเกะกะอยู่บริเวณเชิงเขา หรือเป็นผลจากกระบวนการทางดินที่ทำให้เกิดการสะสมปูนมาร์ลหรือศิลาแลงในดิน
ปัญหาดินตี้น
            ดินตื้นนั้นเป็นดินที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกเพราะ มีปริมาณชิ้นส่วนหยาบปนอยู่ในดินมากทำให้มีเนื้อดินน้อย มีธาตุอาหารน้อย ไม่อุ้มน้ำ ชั้นล่างของดินชนิดนี้จะแน่นทึบรากพืชชอนไชไปได้ยาก พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างปกติ
แนวทางการแก้ไขปัญหาดินตื้น
            การจัดการดินในพื้นที่เหล่านี้จะต้องกระทำอย่างระมัดระวัง ควรเลือกทำการเกษตรในพื้นที่ที่มีหน้าดินหนามากกว่า 25 ซม. และไม่มีก้อนกรวดหรือลูกรังกระจัดกระจายอยู่ที่ผิวดินมาก ปรับปรุงดินด้วยการไถกลบพืชปุ๋ยสด ร่วมกับการปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอัตรา 2-3 ตัน/ไร่ หรือขุดหลุมปลูกไม้ผลขนาด 75x75x75 ซม. หรือถึงชั้นหินพื้น และปรับปรุงหลุมปลูกด้วยหน้าดินที่ไม่มีก้อนกรวดหรือลูกรังร่วมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ใช้ปุ๋ยเคมีตามชนิดพืชที่ปลูก ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์น้ำและผลิตภัณฑ์สารเร่ง พด.3 และพด.7 หรือพัฒนาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์

ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุ
ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุ ซึ่งพบมากที่สุดในประเทศไทย เป็นพื้นที่ถึง 191 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 59.5 ของพื้นที่ทั้งประเทศ เป็นสาเหตุที่ทำให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์  
1. การถากถางพืชที่ปกคลุมหน้าดินจนเตียน  ทำให้น้ำฝนชะเอาผิวหน้าดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ไหลไปด้วย   
2.  การเผาพืช หรือหญ้าที่ขึ้นในไร่นา  ทำให้แร่ธาตุและจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินซึ่งมีประโยชน์ต่อพืชถูกทำลายไป
3.  การทำไร่ สวนบนเนินที่มีความลาดเอียงมาก  โดยการไถพื้นดินให้เป็นร่องจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำจะทำให้น้ำฝนชะหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย
4.  การปลูกพืชชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน  ทำให้แร่ธาตุในดินบางชนิดหมดไป  ผลผลิตของพืชจึงลดลง   
5  การขาดความรู้เรื่องวิธีการใช้ปุ๋ยที่ถูกต้อง  โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีถ้าใช้ไปในปริมาณมากเกินความต้องการของพืชจะทำให้ดินเสื่อมคุณภาพลง

แนวทางการแก้ไขปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุ
1. การปลูกพืชคลุมดิน
การปลูกพืชคลุมดิน คือ การปลูกพืชที่มีใบหนาหรือมีระบบรากแน่นสำหรับคลุมและยึดดินเพื่อช่วยให้ดินมีสิ่งรองรับแรงปะทะจากเม็ดฝน การพัดพาจากกระแสน้ำและกระแสลม
ประโยชน์ของการปลูกพืชคลุมดิน มีดังนี้
-       ช่วยป้องกันการชะล้างของหน้าดินโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความลาดเอียง จะช่วยรองรับแรงปะทะของเม็ดฝนได้อย่างดี ถ้าเป็นพืชที่มีระบบรากแน่นหนาแผ่สาขาไปได้มาก จะช่วยยึดเหนี่ยวเม็ดดินให้ติดกัน ลดการพังทลายของหน้าดิน
-       ช่วยลดความเร็วและการกระจายการไหลของน้ำที่ไหลบ่าบนผิวดินทำให้น้ำซึมลงไปในดินมากขึ้น
-       เพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน เมื่อมีการไถกลบหรือเมื่อ ต้น เถา ใบ ของพืชคลุมดินหล่นทับถมลงไปในดิน
-       ถ้าเป็นพืชตระกูลถั่วจะสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาใช้ประโยชน์เพิ่มเติมให้แก่ดิน
-       ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดิน
-       ช่วยต่อต้านและขัดขวางการเจริญเติบโตของพืชที่ไม่ต้องการ เช่น หญ้าคา และวัชพืชต่าง ๆ
-       รากของพืชคลุมดินช่วยทำให้ดินโปร่ง มีช่องอากาศมากขึ้น สามารถระบายน้ำได้ดี
2. การปลูกพืชตามแนวระดับ
การปลูกพืชตามแนวระดับ หมายถึง การไถพรวน หว่าน ปลูก และเก็บเกี่ยวพืชขนานไปตามแนวระดับเดียวกัน ขวางความลาดเทของพื้นที่ เพื่อลดอัตราการชะล้างและพัดพาดินไป ประสิทธิภาพของการปลูกพืชตามแนวระดับนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของดิน ความลาดเท ลมฟ้าอากาศ และลักษณะการใช้ที่ดิน โดยทั่วไปแล้ว การปลูกพืชตามแนวระดับที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดนั้นควรปฏิบัติบนพื้นที่ที่มีความลาดเทอยู่ในระหว่าง 2-7% และระยะของความลาดเทไม่ควรเกิน 100 เมตร
ประโยชน์ของการปลูกพืชในแนวระดับ
-       ช่วยสงวนดินจากการเซาะกร่อนประมาณ 0.12 – 16.72 ตัน/ไร่/ปี
-       สงวนน้ำไว้ในดินประมาณ 12.3 – 482.6 มม./ปี
-       ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10 %
-       ป้องกันกล้าพืชและเมล็ดพืชมิให้ถูกน้ำชะพาไป
ข้อเสีย
-       ถ้าความยาวของความลาดเทมากเกินไป จะเกิดน้ำไหลบ่าในส่วนล่างของพื้นที่ ทั้งนี้เนื่องจากน้ำไหลข้ามคันดินเล็ก ๆ อันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการกัดเซาะ สึกกร่อนเพิ่มขึ้นได้
-       หากเป็นสภาพพื้นที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาก จะเป็นการยากในการไถพรวน เพราะจะทำให้เกิดแนวโค้งงอมาก

3. การใช้ปุ๋ย
ในสภาพธรรมชาติ ดินจะมีระดับธาตุอาหารต่าง ๆ ค่อนข้างคงที่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ตลอดเวลา มีการสูญเสียธาตุอาหารไป และขณะเดียวกันก็ได้รับธาตุอาหารเพิ่มเติม การได้รับและสูญเสียจะสมดุลกันที่ความอุดมสมบูรณ์ระดับหนึ่ง มากบ้าง น้อยบ้างขึ้นกับชนิดของดินและสภาพแวดล้อม แต่เมื่อมีมนุษย์เข้าไปใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้น มีการหักล้าง การพัง เผาต้นไม้ที่โค่นเพื่อสะดวกแก่การเพาะปลูก ทำให้สภาพสมดุลของธรรมชาติเสียไป มีการสูญเสียธาตุอาหารของพืชอย่างรวดเร็ว ความอุดมสมบูรณ์ของดินจึงเสื่อมลงทุก ๆ ปี เป็นเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ปุ๋ยเพื่อไห้ได้รับผลผลิตมากหรือพอเพียงแก่ความต้องการ และทดแทนการสูญเสียธาตุอาหารของพืชในดิน
ปุ๋ย หมายถึง วัสดุใด ๆ ก็ตามที่นำมาใช้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช อาจจำแนกได้ 2 ชนิด คือ ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่มาจากสารอินทรีย์ต่าง ๆ โดยตรง เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพืชสด เป็นต้น


ปุ๋ยอินทรีย์มีลักษณะ 2 ประการคือ
1. มีลักษณะเป็นปุ๋ย คือ สามารถปลดปล่อยธาตุอาหารพืชให้กับดิน เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารอยู่ครบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งธาตุอาหารไนโตรเจนที่สำคัญที่สุด
2. เป็นวัสดุปรับปรุงดิน คือ ทำให้ดินมีคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของดินดีขึ้น ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน คือ ช่วยให้เกิดเม็ดดินโดยอินทรียสารจะช่วยเพิ่มความเสถียรของเม็ดดิน ทำให้ดินมีการระบายอากาศ และดูดยึดน้ำได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้สามารถช่วยลดการพังทลายและการถูกชะล้างของดินได้ ทำให้ดินมีความหนาแน่นพอเหมาะจึงทำให้ดินไถพรวนได้ง่ายและมีสภาพเหมาะแก่การเจริญเติบโตของรากพืช ในด้านของการช่วยปรับปรุงสมบัติทางเคมีของดิน คือปุ๋ยอินทรีย์ช่วยเพิ่ม ซี อี ซี (Cation Exchange Capacity, CEC) แก่ดิน ทำให้ดินสามารถดูดซับธาตุอาหารไว้ได้มาก เนื่องจาก ปุ๋ยอินทรีย์เมื่อถูกย่อยสลายแล้วจะได้ฮิวมัสซึ่งมีประจุลบ ดังนั้น จึงสามารถดูดซับธาตุอาหารประเภทประจุบวก เช่น แอมโมเนียม ([NH4]+) โพแทสเซียม (K+) แคลเซียม (Ca2+) และแมกนีเซียม (Mg2+) ได้มากยิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มความจุบัฟเฟอร์ (buffer capacity) แก่ดินทำให้ดินมีความเปลี่ยนแปลงในด้านความเป็นกรด เป็นด่าง ความเค็ม ความเป็นพิษจากยากำจัดศัตรูพืชและโลหะหนักที่ใส่ลงไปในดิน ให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ปุ๋ยอินทรีย์ที่สำคัญได้แก่ ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด
ปุ๋ยคอก คือ มูลสัตว์ต่าง ๆ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ค้างคาว ที่นำมาใส่ให้กับดิน ปริมาณธาตุอาหารที่มีในปุ๋ยคอกนั้นไม่แน่นอน ขึ้นกับชนิดของสัตว์ อายุของสัตว์ วิธีการเลี้ยงตลอดจนการเก็บรักษาอีกด้วย ปุ๋ยคอกเมื่อใส่ลงในดินแล้วจะสลายตัวได้ง่ายและรวดเร็วให้ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโปตัสเซียม หลังจากที่สลายตัวเต็มที่แล้วก็จะเหลือสารอินทรีย์ที่สลายตัวยากตกค้างในดิน สารอินทรีย์ส่วนนี้เองที่ช่วยให้ดินมีสมบัติทางกายภาพที่ดี การสลายตัวของปุ๋ยคอกนั้นจะสลายตัวรวดเร็วในระยะแรกและจะค่อยๆ ช้าลงในเวลาต่อมา ในปีแรกปุ๋ยคอกอาจจะสลายตัวประมาณ 50% การสลายตัวจะเพิ่มขึ้นเป็นโดยประมาณ 65% ในปีที่สองและหลังจากนั้นการสลายตัวจะค่อยๆ ช้าลงและจะเหลือสารอินทรีย์ที่คงทนต่อการสลายตัวอยู่ประมาณ 30% ด้วยเหตุที่ปุ๋ยคอกเป็นอินทรียวัตถุที่สลายตัวค่อนข้างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับอินทรียวัตถุชนิดอื่น เช่น ฟางข้าว หรือพืชสด และเมื่อสลายตัวแล้วจะเหลืออินทรียวัตถุที่คงทนต่อการสลายตัวไม่มากนักดังนั้นการที่จะปรับปรุงคุณสมบัติของดินโดยการใส่ปุ๋ยคอกนั้นจำเป็นต้องใส่ในปริมาณมากและใส่อย่างต่อเนื่องทุกปี จึงจะได้ผล
ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยที่ได้จากการนำสารอินทรีย์ต่างๆ เศษพืช ซากสัตว์ มากองรวมกันเพื่อให้สลายตัวโดยจุลินทรีย์กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ในการนำสารอินทรีย์มาหมักนั้นอาจมีการผสมปุ๋ยคอกดินและปุ๋ยเคมีด้วยก็ได้ นอกจากนี้อาจมีการรดน้ำและกลับกองเศษพืชนั้นเพื่อเร่งให้ระยะเวลาในการหมักเร็วขึ้น
ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยที่ได้จากการไถกลบคลุกเคล้าพืชลงไปในดินในขณะที่ยังสดอยู่ พืชเหล่านี้มักจะเป็นปุ๋ยพืชตระกูลถั่ว เพราะสามารถเพิ่มธาตุไนโตรเจนให้แก่ดินได้มากกว่าพืชอื่นๆ โดยปกติพืชที่ปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดนี้ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ หรือเมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสมจะถูกไถกลบลงไปในดินโดยไม่ได้หวังเก็บเกี่ยวผลผลิตของพืชมาใช้ประโยชน์ การไถกลบพืชเพื่อทำปุ๋ยพืชสดนั้น ควรจะทำเมื่อพืชมีปริมาณไนโตรเจนสูงสุด โดยทั่วไปมักจะไถกลบเมื่อพืชออกดอกประมาณ 50% และหลังจากไถกลบพืชลงไปในดินแล้วพืชก็จะเริ่มสลายตัวให้ธาตุไนโตรเจนแก่ดิน ดังนั้น หลังจากไถกลบพืชลงดินแล้วประมาณ 10-15 วัน ควรจะปลูกพืชตามเลยทันที เพื่อไม่ให้ธาตุอาหารที่ได้จากการสลายตัวของปุ๋ยพืชสดสูญหายไป
ปุ๋ยเคมี เป็นปุ๋ยที่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้นจากสารอนินทรีย์ต่างๆ สามารถให้ธาตุอาหารที่สำคัญแก่ดินอย่างรวดเร็ว ปุ๋ยเคมีที่สำคัญ ได้แก่ ปุ๋ยธาตุอาหารหลัด คือปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ซึ่งได้แก่ ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม เมื่อมีการปลูกพืชติดต่อกันเป็นเวลานาน ดินมักจะมีธาตุอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอกับความต้องการของพืชที่ปลูก ดังนั้นจึงต้องมีการเติมธาตุอาหารเหล่านี้ลงไปในดิน ปุ๋ยเคมีอีกชนิดหนึ่งคือ ปุ๋ยธาตุอาหารรอง คือ ปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณมากพอๆ กับธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน ส่วนใหญ่ธาตุอาหารรองมักมีอยู่ในดินในปริมาณมาก เมื่อเปรียบเทียบกับธาตุอาหารหลัก ในการใช้ปุ๋ยเคมีนั้นมีผลเสียหลายประการ เช่น เป็นตัวขัดขวางการสร้างอินทรียสารหรือฮิวมัสตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญของความอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริงของดิน นอกจากนี้ปุ๋ยเคมียังเพิ่มความเค็มและความเปรี้ยวให้แก่ดิน ทำให้ดินแข็ง รากพืชชอนไชลำบาก มีผลให้ปริมาณออกซิเจนในดินลดลงด้วย

4. การปลูกพืชหลายอย่าง
การปลูกพืชหลายอย่าง หมายถึง การปลูกพืชหลายชนิดในแปลงเดียวกัน อาจจะปลูกพร้อมกันในเวลาเดียวกันหรือปลูกก่อนหรือหลังก็ได้ จุดประสงค์เพื่อให้มีพืชคลุมพื้นที่มากที่สุดเพื่อลดการชะล้างพังทลายของดินและรักษาความชื้นในดิน การปลูกพืชแบบนี้มีหลายประเภท คือ

การปลูกพืชหมุนเวียน
การปลูกพืชหมุนเวียน คือการปลูกพืชต่างชนิดหมุนเวียนในที่เดียวกัน เช่น ปลูกถั่วหลังปลูกข้าว ปลูกหญ้าหรือหญ้าผสมถั่วหลังข้าวโพด เป็นวิธีการบำรุงและปรับปรุงดินช่วยลดการชะล้างพังทลาย

การปลูกพืชแซม
การปลูกพืชแซม คือเมื่อปลูกพืชชนิดหนึ่งแล้วปลูกพืชอีกชนิดหนึ่งแซมระหว่างแถวหรือระหว่างต้น เช่น ปลูกถั่วในสวนยางพารา ทำให้พื้นที่ปกคลุมด้วยพืชตลอดและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินโดยเฉพาะเมื่อปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชแซม
การปลูกพืชเหลื่อมฤดู
การปลูกพืชเหลื่อมฤดู หมายถึง การปลูกพืชสองชนิดต่อเนื่องกันโดยยังไม่ได้เก็บเกี่ยวพืชแรก ทั้งนี้ก็เพื่อจะใช้พื้นที่เพาะปลูกพืชได้หลายอย่างโดยยังคงมีน้ำหรือความชื้นในดินพอเพียง

5. การใช้วัสดุคลุมดิน
การใช้วัสดุคลุมดิน หมายถึง การใช้วัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งปกคลุมผิวหน้าดิน เพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำและเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน โดยส่วนใหญ่มักเป็นวัสดุธรรมชาติ ซึ่งเป็นเศษซากพืชหรือวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร เช่น ฟางข้าว ตอซังพืช แกลบ ขี้เถ้าแกลบ ขี้เลื่อย ตลอดจนใบไม้และหญ้าแห้ง โดยการนำวัสดุมาคลุมโคนต้น และระหว่างแถวพืชที่ปลูกในระหว่างการเพาะปลูก หรืออาจจะคลุมหลังจากการเก็บเกี่ยว เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช และเมื่อเศษซากพืชคลุมดินเหล่านี้สลายตัวจะได้อินทรียวัตถุสำหรับปรับปรุงบำรุงดินด้วย ในสภาพไร่นาทั่วไปเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ควรปล่อยเศษเหลือของพืชทิ้งไว้ในไร่นา ไม่ควรจุดไฟเผาและเมื่อเริ่มเข้าฤดูฝนจึงไถกลบ ส่วนกรณีของสวนผลไม้ นิยมใช้การคลุมดินเพื่อสงวนความชื้นของดินในฤดูแล้ง โดยเริ่มคลุมดินตั้งแต่เดือนตุลาคม ก่อนการคลุมดินควรจะพรวนดินบริเวณโคนต้นไม้ก่อน เพื่อทำลายวัชพืชที่แย่งน้ำและทำให้ดินเป็นก้อนเล็ก หลังจากนั้นจึงใช้เศษเหลือของพืชคลุมดินบริเวณโคนต้นอีกที สำหรับกรณีบริเวณที่ไม่ใช้พื้นที่ทำการเกษตร แต่ต้องการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ก็ควรใช้วัสดุคลุมดินก่อนถึงฤดูฝนจะดีที่สุด
         
ปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่ถูกต้องเหมาะสมตามศักยภาพ
            ปัญหาการใช้ทรัพยากรที่ดินไม่ถูกต้องตามสมรรถนะที่ดิน เกิดขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินรูปแบบอื่นรุกล้ำเข้าไปในเขตพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่สูง และพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการเกษตร ปัญหาการใช้ทรัพยากรที่ดินไม่ถูกต้องตามสมรรถนะที่ดิน ได้แก่ การนำที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเกษตรไปใช้เพื่อการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม การสร้างสนามกอล์ฟ และชุมชนเป็นต้น นอกจากนี้ในบางพื้นที่ที่ใช้ทำการเกษตรก็มีปัญหา ที่เกิดจากธรรมชาติของทรัพยากรดินเอง ได้แก่ ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินตื้นที่มีกรวดลูกรังปน ดินทรายจัด ดินพรุ รวมทั้งมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในกิจกรรมต่างๆ โดยขาดการจัดการที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิชาการ อาทิเช่น การผลิตเกลือสินเธาว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การขุดตักดินในที่ดินกรรมสิทธิของเอกชน การบุกรุกทำลายป่าเพื่อทำการเกษตรบนที่สูง และการใช้ที่ดินชายทะเลในภาคตะวันออก เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาในกิจกรรมต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามมมา
แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ทรัพยากรไม่ถูกต้องเหมาะสมตามศักยภาพ
1.      การแก้ไขโดยทุกฝ่าย
ความรู้แก่ประชาชนให้รู้จักใช้ดินอย่างถูกต้อง  และรู้จักหวงแหนผืนดินของตน  รวมทั้งรัฐบาลหรือภาครัฐควรให้ความสำคัญในการจัดการเรื่องนี้  วางแนวทางและดำเนเนการเพื่อมิให้เกิดการใช้ดินอย่างไม่ถูกต้องอีก เช่น ปราบปรามไม่ให้ประชาชนหรือแม้กระทั่งเอกชนสร้างสิ่งก่อสร้างที่ไม่เหมาะสมกับสภาพดิน  รวมถึงต้องหยุดการขุดตักดินไปใช้ประโยชน์  มิเช่นนั้นอาจทำให้ดินทรุดไปมากกว่าที่เป็นอยู่และส่งผลกระทบมาสู่ประชาชนอย่างหนีเสียมิได้
2.      การให้ความชุ่มชื้นและการระบายน้ำในดิน
การให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน การระบายน้ำในดินที่มีน้ำขังออกการจัดส่งเข้าสู่ที่ดินและการใช้วัสดุ เช่น หญ้าหรือฟางคลุมหน้าดินจะช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์

 การระบายน้ำ (DRAINAGE) หมายถึง การกำจัดน้ำส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกจากพื้นที่ เพื่อให้พื้นที่นั้นมีสภาพที่เหมาะต่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์
ผลของการมีน้ำมากเกินไป
- การมีน้ำแทรกระหว่างเมล็ดดิน ทำให้พืชขาดอากาศ
- การมีน้ำใต้ดินสูงเกินไปจะทำให้รากพืชถูกจำกัดพื้นที่หาอาหารได้น้อย และอาจทำให้พืชขาดน้ำเมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง
- หากมีเกลือสะสมในน้ำจะทำให้เกลือสะสมบริเวณรากพืชและผิวดินเป็นปริมาณมาก ด้วย
- ทำให้โรคพืชและวัชพืชขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- โครงสร้างดินเสียไป
- ดินที่เปียกมากจะทำให้การเก็บเกี่ยวยากและเครื่องจักรกลเกษตรทำงานยาก
- ดินมีอุณหภูมิต่ำ กระทบกับระยะเวลาเพาะปลูก
- เป็นแหล่งเพาะและแพร่ขยายพันธุ์ยุง

ชนิดทาง ระบายน้ำ
1. แบบคูระบายน้ำ (Open Ditch Drain)
- คูเปิดเหมือนคลองระบายน้ำ
- ปกติใช้ระบายน้ำผิวดินและรวมน้ำจากท่อระบายน้ำไปที่ทิ้งน้ำ
- ระบายน้ำได้เร็ว แต่เสียพื้นที่มาก
- ต้องมีการกำจัดวัชพืช ขุดลอก และซ่อมตลิ่ง
2. แบบรูตุ่น (Mole Drain)
- ทำขึ้นโดยลากโลหะคล้ายลูกปืนไปในดิน สำหรับระบายน้ำใต้ดิน
- อายุการใช้งานสั้น แบบชั่วคราว ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของดิน ความชื้น ความถี่ของน้ำฝน ฯลฯ
3. แบบท่อระบายน้ำ (Tile Drain)
- ฝังท่อดินเผา หรือ ท่อคอนกรีตเป็นแนวใต้ดิน โดยน้ำระบายเข้าท่อบริเวณรอยต่อหรือรูเจาะ
- ไม่เสียพื้นที่เพาะปลูก ไม่กีดขวางเครื่องจักร
- ลงทุนสูง อาจมีการอุดตันจากรากพืช หรือการตกตะกอน
4. แบบบ่อระบายน้ำ (Well Drain)
บ่อแบบตื้น
- ระดับน้ำในบ่อเท่ากับน้ำใต้ดิน
- ขุดไม่ลึกกว่าระดับน้ำใต้ดินมากนัก
บ่อบาดาล
- น้ำที่ไหลเข้าบ่อมาจากชั้นกรวดหรือทรายระหว่างชั้นดินที่น้ำซึมผ่านได้ยาก
วิธีการระบายน้ำ
แบ่งได้กว้าง ๆ 2 วิธี โดยพิจารณาจากลักษณะภูมิประเทศและข้อมูลทางธรณีวิทยา
แบบสกัดกั้น
- ในพื้นที่มีความลาดเท สกัดกั้นไม่ให้น้ำจากที่อื่นไหลเข้าพื้นที่ ใช้ได้ทั้งน้ำผิวดินและใต้ดิน
แบบลดระดับ
- ในพื้นที่ราบ หรือค่อนข้างราบ โดยระบายน้ำใต้ดินให้มีระดับลดลง หรือ ให้อยู่ระดับที่พอเหมาะกับความต้องการใช้น้ำ

การระบาย น้ำผิวดิน SURFACE DRAINAGE
       เป็นการกำจัดน้ำที่ขังอยู่บนผิวดิน โดยการปรับปรุงผิวดินหรือทางระบายน้ำที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพื่อให้น้ำที่ขังอยู่นั้นไหลไปสู่ที่ทิ้งน้ำโดยเร็วที่สุดโดยไม่เกิดการกัด เซาะผิวดินหรือทางระบายน้ำนั้นด้วย
ปัญหาการระบายน้ำผิวดิน
- พื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ทำให้น้ำไหลลงทางระบายน้ำธรรมชาติยาก
- ทางระบายน้ำขนาดเล็ก ระบายไม่ทัน
- สภาพของที่ทิ้งน้ำไม่เหมาะสม ระบายน้ำทิ้งได้ช้า

ระบบระบายน้ำผิวดิน 4 แบบ
1. แบบ หลังเต่า : ระบบระบายน้ำแบบนี้ทำโดยการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ละแปลงจะพูนเป็นหลังเต่าเทไปหาร่องระบายน้ำเล็ก ๆ สองข้าง และมีคูระบายน้ำหัวและท้ายแปลง การไถพรวนทำในแนวขนานกับด้านยาวของแปลง เหมาะกับพื้นที่ลาดเทไม่เกิน 1.5% ความสามารถให้น้ำซึมผ่านได้ต่ำ พืชที่ปลูกให้ผลตอบแทนไม่คุ้มกับกับการระบายน้ำแบบท่อ และไม่มีที่ทิ้งน้ำที่เหมาะสม

2.
แบบ ไร้รูปแบบ :ระบบระบายน้ำแบบนี้ใช้ระบายน้ำจากแอ่งน้ำหรือที่ลุ่มซึ่งกระจัดกระจายอยู่ ในพื้นที่ โดยการขุดคูเชื่อมระหว่างแอ่งน้ำจากแอ่งหนึ่งไปหาอีกแอ่งหนึ่งในแนวที่มี ปริมาตรดินขุดและมีการกีดขวางการทำงานน้อยที่สุด แล้วขุดคูจากแอ่งที่อยู่ต่ำสุดไปสู่คูระบายน้ำออกจากพื้นที่
เพื่อให้ระบบระบายน้ำแบบนี้ได้ผลเต็มที่ ดินที่ได้จากการขุดคูนำไปถมแอ่งหรือที่ลุ่มขนาดเล็กแล้วปรับพื้นที่ให้เรียบ และมีความลาดเทไปหาแอ่งน้ำหรือคูระบายน้ำที่ขุดขึ้นนั้น ในดินที่น้ำซึมผ่านได้ยากอาจจะต้องใช้ระบบระบายน้ำแบบนี้ร่วมกับแบบหลังเต่า

3.
แบบ ขวางความลาดเท :ระบบระบายน้ำแบบนี้ใช้สำหรับระบายน้ำจากพื้นที่ลาดชันไม่เกิน 4% โดยชุดคูตื้น ๆ แนวเกือบขนานกับเส้นขอบเนินของพื้นที่เป็นระยะ ๆ คูเหล่านี้น้ำทำหน้าที่รวมน้ำจากพื้นที่ที่สูงกว่าไปสู่คูทิ้งน้ำ ดินที่ได้จากการขุดคูนำไปถมแอ่งหรือที่ลุ่มขนาดเล็กให้เรียบ

4.
แบบ คูขนาน :ระบบระบายน้ำแบบนี้ใช้สำหรับระบายน้ำจากพื้นที่ราบและดินมีความสามารถซึม น้ำได้ต่ำ ซึ่งทำให้เกิดที่ลุ่มมีน้ำขังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป การจัดระบบระบายน้ำแบบนี้คล้ายกับแบบหลังเต่า คือ แบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่เหลี่ยมย่อย ๆ แต่ไม่จำเป็นว่าระยะระหว่างคูระบายน้ำและแปลงต้องเท่ากันทั้งนี้เพราะน้ำจาก แต่ละจุดในแปลงย่อยอาจจะไหลไปสู่คูระบายน้ำด้านใดก็ได้ คูน้ำจะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะระบายน้ำได้ทัน โดยน้ำไม่ล้น หรือกัดเซาะตลิ่ง
การระบาย น้ำใต้ดิน SUBSURFACE DRAINAGE
       เป็นการกำจัดน้ำเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำอิสระออกจากดินโดยการสร้างคววาม แตกต่างของระดับน้ำในดินขึ้น เพื่อให้น้ำดังกล่าวไหลไปสู่ท่อหรือคูระบายน้ำจนกระทั่งผิวบนของชั้นดินที่ อิ่มน้ำอยู่ต่ำจากผิวดินมากพอกับความต้องการของพืช
ปัญหาการระบายน้ำใต้ดิน

1. น้ำใต้ดินของที่ราบในหุบเขา :
- มีน้ำใต้ดินขังอยู่ชั้นดินดาน ความลาดเทน้อย มีการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆไปสู่ลำธารหรือทางน้ำที่ไหลออกไปจากหุบเขา
- น้ำส่วนมากมาจากน้ำฝน และน้ำชลประทานที่ให้มากเกินไป
- ถ้าในน้ำมีเกลือมาก เกลืออาจจะสะสมบนผิวดินได้

2.
น้ำ ใต้ดินของที่รั่วจากชั้นน้ำบาดาล :
- ระบายออกได้ยาก เพราะน้ำไหลมาเพิ่มเรื่อย ๆ ควบคุมไม่ได้
- แก้ไขโดย วางท่อระบายน้ำให้ลึก และถี่
- ถ้ามีแรงดันสูงต้องเจาะบ่อสูบน้ำเพื่อลดแรงดัน
- มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับ

3.
ระดับ น้ำใต้ดินเทียม :
- เป็นระดับน้ำใต้ดินที่เกิดขึ้นบนชั้นดินที่น้ำซึมผ่านได้ยากซึ่งอยู่สูงกว่า ระดับน้ำใต้ดินที่แท้จริง
- ระบายโดยการเจาะชั้นดินที่น้ำซึมผ่านได้ยากให้น้ำไหลสู่ระดับน้ำใต้ดินที่ แท้จริง

4.
ปัญหา ของการไหลของน้ำใต้ดินในทางราบ :
- เกิดจากการแยกตัวของดิน ดินชั้นติดกันมีความสามารถให้น้ำซึมผ่านได้ต่างกัน
- เกิดจากการรั่วซึมของน้ำในคลอง ระดับน้ำในคลองสูงกว่าระดับดินมากและทางระบายน้ำอยู่ใกล้กับคลองส่งน้ำอาจจะ ทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรง


ระบบระบายน้ำใต้ดิน 5 แบบ

1.
ระบบ ท่อขนาน : ระบบระบายน้ำแบบนี้ประกอบขึ้นด้วยท่อน้ำที่วางขนานกันเป็นระยะ ๆ และตั้งฉากกับท่อประธานซึ่งทำหน้าที่รับน้ำจากท่อระบายน้ำ ซึ่งจะมีอยู่เพียงด้านใดด้านหนึ่งของท่อประธานไปสู่ที่ทิ้งน้ำ ระบบระบายน้ำแห่งนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ราบที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมและเนื้อดิน สม่ำเสมอ
2.
ระบบ ก้างปลา : ระบบระบายน้ำแบบนี้ประกอบด้วยท่อระบายน้ำที่วางขนานกันเป็นระยะเช่นเดียวกัน กับแบบแรก แต่จะทำมุมและต่อเข้ากับท่อประธานทั้งสองด้านลักษณะคล้ายก้างปลา เหมาะกับที่ที่ท่อประธานหรือรองประธานวางอยู่ในร่องระบายน้ำธรรมชาติตื้น ๆ
ซึ่งพื้นที่ลาดมาหาทั้งสองด้าน
3.
ระบบ ท่อประธานคู่: ระบบระบายน้ำแบบนี้ดัดแปลงมาจากสองแบบแรก กล่าวคือ เมื่อต้องวางท่อประธานในแนวร่องระบายน้ำธรรมชาติซึ่งลึกหรือเป็นทางน้ำอยู่ แล้วทำให้ต้องแบ่งพื้นที่ที่ต้องระบายน้ำออกเป็นสองแปลง
และมีท่อประธานสองท่ออยู่บนแต่ละฝั่งของทางน้ำ ความจริงการมีท่อประธานสองท่อนี้นอกจากจะช่วยให้การวางระบบระบายน้ำทำได้ สะดวกกว่า เนื่องจากระดับดินบนสองฝั่งของทางน้ำอาจแตกต่างกันมากแล้ว ถ้าหากมีการไหลซึมของน้ำนั้นเข้าสู่พื้นที่ท่อประธานจะทำหน้าที่สกัดกั้นน้ำ เหล่านี้ไว้ด้วย
4.
ระบบไร้รูปแบบ :ระบบระบายน้ำแบบนี้ใช้กับพื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ และมีที่ลุ่มน้ำขังเป็นแห่ง ๆ ซึ่งไม่ต้องการระบบระบายน้ำที่มีทางระบายน้ำวางขนานกันเป็นระยะ ๆ คลุมทั้งพื้นที่ ระบบระบายนน้ำแบบนี้ค่อนข้างประหยัดเพราะจะมีแต่ท่อประธานเชื่อมต่อบริเวณ ที่ต้องการระบายน้ำแต่ละจุด
และมีท่อระบายน้ำเฉพาะที่ลุ่มเท่านั้น
5.
ระบบ สกัดกั้น : ระบบระบายน้ำแบบนี้ใช้สกัดกั้นการไหลซึมของน้ำซึ่งไหลในทางราบเหนือชั้นดิน ที่น้ำซึมผ่านได้ยาก
ที่โผล่ขึ้นมาหรือวางอยู่ใกล้กับผิวดิน และทำให้มีน้ำซึมออกมาจากบริเวณดังกล่าว การระบายน้ำในพื้นที่ที่มีลักษณะเช่นนี้จะทำโดยการวางท่อระบายน้ำบนชั้นดิน ที่น้ำซึมผ่านได้ยากตอนบนของบริเวณที่มีน้ำซึม ในแนวขนานกับแนวที่มีน้ำซึมออกมา และ
มีความลาดเทไปสู่ที่ทิ้งน้ำ


3 ความคิดเห็น: